วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดที่ 4

การบ้านประจำสัปดาห์ที่ 4 
1.) โปรโตคอล (Protocol) คืออะไร


ตอบปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

2.) การแบ่งโปรโตคอลออกเป็นชั้นๆ หรือเลเยอร์ Layer ช่วยให้เกิดประโยชน์ในการส่งข้อมูลอย่างไรบ้าง
ตอบ การทำงานในแต่ละเลเยอร์ จะไม่ซ้ำซ้อนกัน  ซึ่งเลเยอร์ที่อยู่ต่ำกว่าจะทำหน้าที่ให้บริการ Serviceกับชั้นที่อยู่สูงกว่า  โดยเลเยอร์ที่อยู่สูงกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทราบว่า เลเยอร์ที่อยู่ต่ำกว่ามีวิธีให้บริการอย่างไร เพียงแค่รู้ว่ามีบริการอะไรบ้าง


3.) ชุดโปรโตคอลที่ใช้จริงในระบบเครือข่ายปัจจุบัน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.โปรโตคอล IPX/SPX
2.โปรโตคอล NetBEUI
3.โปรโตคอล AppleTalk
4.โปรโตคอลTCP/IP ( RFC1180 )

4.) การติดต่อสื่อสารกันทางอินเตอร์เน็ต ใช้ชุดโปรโตคอล (Protocol) ชนิดใด
 ตอบ TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol)การติดต่อสื่อสารกันทางอินเตอร์เน็ตจะใช้โปรโตคอล 

5.) โปรโตคอล (Protocol) แบบอ้างอิง OSI (OSI Reference Model) แบ่งการทำงานเป็นกี่ Layer และแต่ละ Layer มีหน้าที่การทำงานอย่างไรบ้าง

ตอบ OSI แบ่งโทรคมนาคม เป็น 7 เลเยอร์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มบน 4 เลเยอร์ ใช้ในการส่งผ่านข่าวสารจาก หรือไปยังผู้ใช้ เลเยอร์ทั้ง 7 เลเยอร์ คือ
เลเยอร์ 7 application layer, เลเยอร์นี้เป็นส่วนการสื่อสารได้รับการระบุ, คุณภาพการบริการมีการระบุ, user authentication และส่วนบุคคลได้รับการพิจารณา ข้อจำกัดบนไวยากรณ์ข้อมูล ได้รับการระบุ (เลเยอร์นี้ไม่ใช่การประยุกต์โดยตัวเอง แต่บางโปรแกรมประยุกต์ อาจจะทำงานใน application layer)
เลเยอร์ 6 presentation layer, เลเยอร์นี้ เป็นส่วนของระบบปฏิบัติการที่แปลงข้อมูลนำเข้า และส่งออกจากรูปแบบการนำเสนอไม่เป็นรูปแบบอื่น (ตัวอย่าง เช่น จากชุดข้อความ เป็น popup window กับ ข้อความที่มาถึงใหม่) บางครั้งเรียกว่า syntax layer
เลเยอร์ 5 session layer, เลเยอร์นี้ ตั้งค่า ประสานงาน แลกเปลี่ยน และหยุดการสนทนา โต้ตอบระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่แต่ละจุดปลาย ซึ่งเกี่ยวข้องถึง session และการประสานเชื่อมต่อ
เลเยอร์ 4 transport layer, เลเยอร์นี้ จัดการตัวควบคุม end-to-end (ตัวอย่าง เช่น การหาว่าแพ็คเกตทั้งหมดมาถึงครบหรือไม่) และตรวจสอบความผิดพลาด เป็นการทำให้มั่นใจว่าการส่งผ่านข้อมูลสมบูรณ์
เลเยอร์ 3 network layer, เลเยอร์นี้ดูแลเส้นทางของข้อมูล (ส่งให้ถูกทิศทางไปยังปลายทางที่ถูกต้อง ขณะที่ส่งผ่านออกไป และการรับ เมื่อส่งผ่านเข้ามาที่ระดับแพ็คเกต) network layer ทำงานด้านเส้นทางและการส่งต่อ
เลเยอร์ 2 data-link layer, เลเยอร์นี้ให้การ synchronization สำหรับระดับกายภาค และทำ bit-stuffing สำหรับข้อความของ 1 มากกว่า 5 เปิดการรับรู้และจัดการโปรโตคอลการส่งผ่าน
เลเยอร์ 1 physical layer, เลเยอร์นี้ส่งผ่าน bit system ผ่านเครือข่ายที่ระดับไฟฟ้าและกลไก เป็นการให้วิธีการกับฮาร์ดแวร์ในการส่งและรับข้อมูลบนตัวกลาง

6.) โปรโตคอล (Protocol) TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) มีจุดประสงค์ของการทำงานอย่างไร และแบ่งเป็นกี่ชั้น แต่ละชั้นมีหน้าที่ทำงานอย่างไรบ้าง

ตอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่าย หรือแพรตฟอร์มที่ต่างกันไปยังปลายทางได้
        แบ่งเป็น ชั้น
ชั้นสื่อสารการประยุกต์ (Application Layer)
                ชั้นบนสุดของชุดโปรโตคอล TCP/IP คือ ชั้น Application Layer การทำงานของชั้นนี้จะเป็นการเข้าใช้ทรัพยากรระยะไกล (Remode Access) และการแชร์การใช้ทรัพยากร  (Resource Sharing)
ชั้นสื่อสารนำส่งข้อมูล (Transport Layer)
                การทำงานในชั้นนี้ จะทำงานคล้ายกับชั้น Secsion และ Transport ในแบบอ้างอิงOSI Model  ซึ่งในชั้นนี้จะมี Protocol TCP (Transmission Control Protocol) และ UDP  (User Datagram Protocol) ซึ่งทั้งสอง โปรโตคอลก็มีลักษณะการรับส่งข้อมูลที่แตกต่างกัน
ชั้นสื่อสารอินเทอร์เน็ต (The Internet Layer) ต่อ 
                การทำงานในชั้นนี้ จะทำงานคล้ายกับชั้น Network Layer ในแบบอ้างอิง OSI Model ซึ่งชั้นนี้จะทำหน้าที่ในการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายต่างๆ ตามเส้นทางให้ถึงจุดหมาย ชุดข้อมูลที่อยู่ในชั้นนี้จะเรียกว่า  Packet หน้าที่ของโปรโตคอลในชั้นนี้คือ ส่ง Packet ให้ถึงปลายทางโดยจัดเส้นทางที่ดีที่สุด โปรโตคอลหลักที่ทำงานในชั้นนี้ คือ IP (Internet Protocol)
ชั้นโฮสต์-เครือข่าย (Host-to-Network Layer)      
                โพรโตคอลสำหรับการควบคุมการสื่อสารในชั้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดอย่างเป็นทางการ หน้าที่หลักคือการรับข้อมูลจากชั้นสื่อสาร IP มาแล้วส่งไปยังโหนดที่ระบุไว้ในเส้นทางเดินข้อมูลทางด้านผู้รับก็จะทำงานในทางกลับกัน คือรับข้อมูลจากสายสื่อสารแล้วนำส่งให้กับโปรแกรมในชั้นสื่อสาร

7.) โปรโตคอล TCP และ โปรโตคอล UTP แต่ละชนิดมีการทำงานอย่างไร และทั้งสองชนิดแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ โปรโตคอล TCP จะทำการรับส่งข้อมูลแบบ Connection-Oriented หมาถึง การสร้างการเชื่อมต่อกับปลายทางก่อนที่จะส่งข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะถึงปลายทางอย่างแน่นอน  และเมื่อได้รับข้อมูลก็จะยกเลิกการเชื่อมต่อที่สร้างไว้ โปรโตคอล UDP จะใช้การส่งข้อมูลแบบ Connectionless หมายถึง ในแต่ละครั้งของการส่งข้อมูลจะไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อกับเครื่องปลายทางก่อน ข้อมูลจะถูกส่งออกไปทันที ซึ่งมีการคาดหวังว่าปลายทางจะได้รับข้อมูลที่ส่งออกไป

8.) IP Address คืออะไร
ตอบ P Address ย่อมาจากคำเต็มว่า Internet Protocal Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP เป็นการติดต่อสื่อสารกันในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีโพรโตคอล TCP/IP เป็นมาตรฐานนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมอยู่ จะต้องมีหมายเลขเครื่องเอาไว้อ้างอิงให้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทราบ เหมือนกับทุกคนที่ต้องมีชื่อและนามสกุลให้คนอื่นเรียก ซึ่งจะซ้ำกันไม่ได้ หมายเลขเครื่องอ้างอิงดังกล่าวเรียกว่า IP Address หรือ หมายเลข IP หรือบางที่เรียกว่า แอดเดรส IP” (IP ในที่นี้คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเองซึ่งถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32บิต ใน 1 ชุดนี้มีตัวเลขถูกแบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิต เท่า ๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐาน 10 ก่อนเพื่อเป็นการง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละตัวด้วยจุด ดังนั้นตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ตั้งแต่ 0 จนถึง 28 - 1 = 255 เท่านั้น เช่น 192.10.1.101 เป็นต้น

9.) อุปกรณ์ Router ทำงานในชั้นใด บนชุดโปรโตคอล (Protocol) TCP/IP

ตอบ  Layer3, Network Layer

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การบ้านประจำสัปดาห์ที่ 3 
1.) โปรโตคอล (Protocol) กับภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ เป็นการสื่อสารกันเหมือนกัน แต่แตกต่างตรงที่ โปรโตคอล ใช้ในการสื่อสารของเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนภาษามนุษย์ก็คือการพูดกันอย่างที่เราพูดกันทุกวัน
 2.) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย NOS (Network Operating System) หรือ เครื่องแม่ข่ายให้บริการ มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างมา 5 อย่าง
ตอบ 1.Windows 2000 Server 
2. Windows 95/98/Me
3.Unix 
4.Linux 
5.Netware

3.) การทำงานของอุปกรณ์ Switch และ Router แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ตอบ  แตกต่างกันตรงที่ Router มีความสามารถในการแบ่ง Boardcast ได้มากกว่า 1 boardcast ซึ่ง Switch กับ Hub ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งในตัว  Router ยังมี Routering Table เพื่อคำนวณหาเส้นทางของข้อมูล

4.) Cable Modem มีการทำงานอย่างไร และมีข้อดีอย่างไรบ้าง
ตอบ Cable modems เป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกับสายเคเบิลทีวี และรับข้อมูลที่ 1.5 Mbps อัตราข้อมูลสูงกว่าโมเด็มโทรศัพท์ขนาด 28.8 และ 56 kbps หรือระบบ Integrated Services Digital Network (ISDN ) ขนาด 128 kbps และอัตราข้อมูลรองรับกับระบบ Digital Subscriber Line (DSL) นอกจากนี้ cable modem สามารถเพิ่มหรือรวมกับ set-top-box ที่ให้โทรทัศน์ใช้ช่องสัญญาณของอินเตอร์เน็ต ในกรณีส่วนใหญ่ cable modem สามารถทำเป็น ส่วนการเข้าถึงทางสายเคเบิล ซึ่งไม่ต้องซื้อโดยตรงและติดตั้งโดยผู้ให้บริการ cable modem มีการติดต่อ 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งเข้าสู่จุดเชื่องของสายเคเบิล และอีกด้านต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ set-top-box ของโทรทัศน์ ถึงแม้ว่า cable modem สามารถแปลงสัญญาณระหว่างสัญญาณอนาล็อกกับดิจิตอล แต่มีความซับซ้อนมากกว่าโมเด็มของโทรศัพท์ ซึ่งสามารถต่อภายนอกหรือรวมเป็นอุปกรณ์ภายใน คอมพิวเตอร์ หรือ set-top-box 
ข้อดีคือ สามารถเชื่อมต่อ Internet ได้เร็วกว่า Analog Modem มากกว่า 100 เท่า วงจรการเชื่อมต่อ สื่อสารข้อมูล ( Internet) คงค้างตลอดเวลา ความเร็วในการรับและส่งข้อมูลของผู้เช่าแต่ละรายเป็นอิสระต่อกัน สามารถใช้งานโทรศัพท์ ได้พร้อมกับการรับและส่งข้อมูล สำหรับบริการประเภท ADSL และใช้ พร้อมกับการชมโทรทัศน์สำหรับบริการ Cable Modem วงจรการเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพสูง และมีความปลอดภัยของข้อมูลสูง สามารถใช้งานระบบโทรศัพท์ได้ ขณะไฟฟ้าดับ

5.) จุดประสงค์ในการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาอย่างน้อย 5 อย่าง
ตอบ 1.การแลกเปลี่ยนข้อมูลทำได้ง่าย
โดยผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถที่จะดึงข้อมูลจากส่วนกลาง หรือข้อมูลจากผู้ใช้คนอื่นมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เหมือนกับการดึงข้อมูลมาใช้จากเครื่องของตนเอง และนอกจากดึงไฟล์ข้อมูลมาใช้แล้ว ยังสามารถคัดลอกไฟล์ไปให้ผู้อื่นได้อีกด้วย
2.ใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายนั้น ถือว่าเป็นทรัพยากรส่วนกลางที่ผู้ใช้ในเครือข่ายทุกคน สามารถใช้ได้โดยการสั่งงานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของ ตัวเองผ่านเครือข่ายไปยังอุปกรณ์นั้น เช่น มีเครื่องพิมพ์ส่วนกลางในเครือข่าย เป็นต้น ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย
3.ติดต่อสื่อสารสะดวก รวดเร็ว
เครือข่ายนับว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ได้เป็นอย่างดี ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล กับเพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละที่ ได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว
4.ทำงานประสานกันเป็นอย่างดี
ก่อนที่เครือข่ายจะเป็นที่นิยม องค์กรส่วนใหญ่จะใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรม หรือมินิคอมพิวเตอร์ ในการจัดการงาน และข้อมูลทุกอย่างในองค์กร แต่ปัจจุบันองค์กรสามารถกระจายงานต่าง ๆ ให้กับหลาย ๆ เครื่อง แล้วทำงานประสานกัน เช่น การใช้เครือข่ายในการจัดการระบบงานขาย โดยให้เครื่องหนึ่งทำหน้าที่จัดการการเกี่ยวกับใบสั่งซื้อ อีกเครื่องหนึ่งจัดการกับระบบสินค้าคงคลัง เป็นต้น
5.ใช้โปรแกรมร่วมกัน
ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถที่จะรันโปรแกรมจาก เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง เช่น โปรแกรม Word, Excel, Power Point ได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องจัดซื้อโปรแกรม สำหรับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง เป็นการประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อ และยังประหยัดเนื้อที่ในหน่วยความจำด้วย